อ่านเฉพาะบทความของบล็อคในรูปแบบพิเศษ ...
sidebar / flipcard / mosaic / snapshot / timeslide

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการปฎิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา
พ.ศ.๒๕๔๔

---------------------------

            โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการปฎิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา เนื่องจากบัดนี้มีการโอนกรมตำรวจจากกระทรวงมหาดไทยไปจัดตั้งเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวกับตำรวจ ทหาร พนักงานฝ่ายปกครอง และวิธีพิจารณาความอาญาใหม่แล้ว ประกอบกับข้อตกลงบางข้อไม่สอดคล้องกับการดำเนินกระบวนการยุติธรรมในเวลาปกติอันมิใช่ภาวะสงคราม จึงสมควรปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพสังคม และกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อีกทั้งควรกำหนดระเบียบวิธีปฏิบัติให้ชัดเจน สะดวกต่อผู้ปฏิบัติและสามารถดำเนินการได้รวดเร็วไม่เสียหายต่อรูปคดีโดยคำนึงถึงหลักความสามัคคีปรองดอง และหลักการประสานงานระหว่างตำรวจ ทหารกับพนักงานฝ่ายปกครองในการร่วมมือและอำนวยความสะดวก เพื่อป้องปราม ป้องกัน หรือระงับเหตุวิวาทมิให้ลุกลามต่อไป อันจะช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมได้ประการหนึ่ง ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงแบบธรรมเนียมของแต่ละฝ่าย ตลอดจนความจำเป็นขององค์กรในการดูแลรักษาสถานที่ ยานพาหนะ และอาวุธยุทโธปกรณ์ของของตนให้ปลอดภัย และปกครองดูแลบุคลากรให้อยู่ในวินัยและได้รับการปฎิบัติอย่างมีศักดิ์ศรี เป็นธรรมตามควรแก่กรณี แต่ทั้งนี้ต้องมิให้กระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือฝ่าฝืนกฎหมายที่มีเพื่อคุ้มครองบุคคลทั่วไปโดยเสมอกัน อันเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ (๘) และ (๙) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้
            ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ “
            ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
            ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
                  ๓.๑ ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการปฏิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา พ.ศ. ๒๔๙๘
                  ๓.๒ ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการปฏิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา พ.ศ.๒๔๙๘ ( ฉบับที่ ๑ ) พ.ศ.๒๕๐๗
                  ๓.๓ ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการ ปฎิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา พ.ศ. ๒๔๙๘ ( ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ. ๒๕๑๒
                  ๓.๔ ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการ ปฎิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา พ.ศ. ๒๔๙๘ ( ฉบับที่ ๓ ) พ.ศ. ๒๕๑๘
                  ๓.๕ ข้อตกลงระหว่างกระทรวงกลาโหมกับกระทรวงมหาดไทย เรื่องการ ปฎิบัติและประสานงานเกี่ยวกับกรณีที่ทหารเป็นผู้เสียหายหรือเป็นผู้ต้องหาในความผิดอาญา พ.ศ.๒๔๙๘ ( ฉบับที่ ๔ ) พ.ศ. ๒๕๒๕
                  บรรดาข้อตกลง ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งอื่นใดในส่วนที่กำหนดไว้แล้วในระเบียบนี้ หรือขัดแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน
            ข้อ ๔ ในระเบียบนี้
            “ เขตที่ตั้งทหาร” หมายความว่า อาคาร สถานที่หรือบริเวณซึ่งมีหน่วยทหารตั้งอยู่
            “ คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา
            “ ตำรวจ” หมายความว่า ข้าราชการตำรวจตามกฏหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการตำรวจ
            “ ทหาร” หมายความว่า ข้าราชการทหาร ทหารกองประจำการ และนักเรียนในสังกัดกระทรวงกลาโหม ตามกฏหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการทหาร
            “ พนักงานฝ่ายปกครอง” หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งมิใช่ตำรวจและทหาร แต่มีอำนาจหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฏหมายอื่น
            “ สิ่งสื่อสาร” หมายความรวมถึง จดหมาย โทรศัพท์ โทรเลข โทรสาร โทรพิมพ์ วิทยุ และการติดต่อสื่อสารส่งข้อความทางอิเล็กทรอนิกส์ทุกชนิด
            ข้อ ๕ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามระเบียบนี้
หมวด ๑
คณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงาน
กรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา

            ข้อ ๖ องค์ประกอบของคณะกรรมการ
            ให้มีคณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญาคณะหนึ่ง ประกอบด้วย
                ๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานกรรมการ
                ๒. ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นรองประธานกรรมการ
                ๓. ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นกรรมการ
                ๔. ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ
                ๕. ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นกรรมการ
                ๖. ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือ ผู้บัญชาการเหล่าทัพที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมอบหมาย เป็นกรรมการ
                ๗. รองอัยการสูงสุดคนหนึ่งตามที่อัยการสูงสุดมอบหมาย เป็นกรรมการ
                ๘. ข้าราชการตำรวจระดับผู้บัญชาการขึ้นไปคนหนึ่งตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมอบหมาย เป็นกรรมการ
                ๙. อธิบดีกรมการปกครอง เป็นกรรมการ
                ๑๐.เจ้ากรมพระธรรมนูญ เป็นกรรมการและเลขานุการ
            ข้อ ๗. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ
            คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้
                ๑. วางมาตราการป้องกัน แก้ไข วินิจฉัย สั่งการหรือให้คำแนะนำแก่เจ้าหน้าที่หรือผู้เสียหายที่ร้องเรียนเมื่อมีปัญหาในทางปฏิบัติอันเกิดจากการใช้ระเบียบนี้ในกรณีที่เห็นว่าปัญหาใดเป็นเรื่องสำคัญอันควรได้รับคำวินิจฉัยหรือสั่งการให้มีผลเป็นการทั่วไปให้เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
                ๒. ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับแบบของหนังสือ ขั้นตอนหรือรายละเอียดในการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา ตลอดจนข้อกำหนดว่าด้วยการประพฤติปฏิบัติตนของทหาร พนักงานฝ่ายปกครอง และตำรวจ ในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ข้อกำหนดดังกล่าวให้มีผลเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา
                ๓. เสนอนายกรัฐมนตรีให้พิจารณาปรับปรุงแก้ไขกฏ ระเบียบ คำสั่ง หรือข้อบังคับ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา
                ๔. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน หรือมอบหมายให้บุคคลใดช่วยในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการ
            บุคคลใดเห็นว่าตนหรือสมาชิกในครอบครัวของตนได้รับความเสียหายหรือความไม่เป็นธรรม เนื่องจากการที่ทหาร พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ อ้างการปฏิบัติตามระเบียบนี้ หรือละเลยการปฏิบัติตามระเบียบนี้ บุคคลนั้นมีสิทธิร้องเรียนต่อคณะกรรมการหรือผู้ที่คณะกรรมการมอบหมายเพื่อแนะนำ วินิจฉัยหรือสั่งการได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
หมวด ๒
การประสานงานระหว่างทหารกับพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
            ข้อ ๘ การประสานงานก่อนเกิดเหตุ
            ให้ผู้บังคับบัญชาของทหาร พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ส่งเสริมและสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายมีความสามัคคีระหว่างกัน และพยายามป้องกันหรือระงับความขัดแย้งเพื่อมิให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นโดยเฉพาะในบริเวณนอกเขตที่ตั้งทหารในการนี้ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจอาจขอให้ฝ่ายทหารจัดส่งสารวัตรทหารหรือเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารไปร่วมรักษาความสงบเรียบร้อยในบางสถานที่หรือบางโอกาสเพื่อป้องปรามหรือป้องกันเหตุร้ายได้ตามความจำเป็น
            ข้อ ๙ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจขอความร่วมมือจากทหาร
            ในกรณีที่พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจสืบทราบว่าทหารจะกระทำความผิดอาญา ใช้อิทธิพลในทางมิชอบ ก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญแก่ประชาชนหรือจะมีการก่อเหตุวิวาทนอกเขตที่ตั้งทหารไม่ว่าจะเป็นการกระทำโดยฝ่ายทหารทั้งหมดหรือมีทหารร่วมอยู่ด้วย ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตักเตือนห้ามปรามไปตามอำนาจหน้าที่ถ้าเกรงว่าจะไม่เป็นผลให้แจ้งเหตุแก่ฝ่ายทหารโดยด่วนเพื่อขอความร่วมมือในการสอดส่องตรวจตรา ระงับยับยั้งหรือป้องกันมิให้มีเหตุร้ายเกิดขึ้น
เมื่อมีการร้องขอหรือแจ้งเหตุดังกล่าว ให้ฝ่ายทหารให้ความร่วมมือตามความจำเป็น ทั้งนี้ ทหาร พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อระงับเหตุต้องสวมเครื่องแบบ ส่วนจะนำอาวุธไปด้วยหรือไม่ ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาผู้เป็นหัวหน้าหน่วยของฝ่ายนั้น ๆ แต่มิให้ใช้อาวุธ เว้นแต่จะมีความจำเป็นอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หัวหน้าชุดของแต่ละฝ่ายที่จะควบคุมไปต้องเป็นข้าราชการ นายทหาร หรือนายตำรวจชั้นสัญญาบัตร ห้ามมิให้ทหาร พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจที่มิได้รับคำสั่ง ไปยังสถานที่นั้นเองเป็นอันขาด
            ข้อ ๑๐ ทหารขอความร่วมมือจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ
เมื่อฝ่ายทหารจับกุมตัวทหารที่ถูกหาว่ากระทำผิดวินัยทหารหรือกระทำความผิดอาญาได้ และประสงค์จะใช้สถานที่ สิ่งสื่อสาร หรือยานพาหนะของพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ เพื่อการสอบสวนหรือดำเนินการในส่วนของทหาร ให้ขอความร่วมมือจากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ตามความจำเป็น
            ข้อ ๑๑ หน่วยประสานงาน
            การร้องขอ การขอความร่วมมือหรือการแจ้งเหตุใด ๆ ต่อฝ่ายทหาร ตามระเบียบนี้ นอกจากการประสานงานกับผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดของทหารผู้เกี่ยวข้องหรือหน่วยทหารใน
เขตที่ตั้งทหารซึ่งใกล้ที่สุดกับบริเวณที่เกิดเหตุหรือเชื่อว่าจะเกิดเหตุโดยใช้สิ่งสื่อสารแล้ว พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจอาจประสานโดยใช้สิ่งสื่อสารกับหน่วยทหารอื่นในพื้นที่ได้ตามความจำเป็น
            ข้อ ๑๒ การรายงานคดี
            ในกรณีที่นายทหารสัญญาบัตรประจำการหรือข้าราชการกลาโหมพลเรือนชั้นสัญญาบัตรต้องหาว่ากระทำความผิดอาญาอันมิใช่ความผิดลหุโทษ ความผิดประเภทที่พนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้ หรือคดีที่เสร็จสิ้นหรือระงับไปในชั้นพนักงานสอบสวนแล้ว ให้พนักงานสอบสวนรายงานคดีตามลำดับถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ได้รับมอบหมายเพื่อแจ้งให้กระทรวงกลาโหมทราบ
หมวด ๓
การจับกุม การควบคุมและการรับตัวทหารไปควบคุม
            ข้อ ๑๓ การจับกุมทหาร
            ในกรณีมีคำสั่งหรือหมายของศาลให้จับทหารผู้ใด ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของทหารผู้นั้นทราบในโอกาสแรก เว้นแต่เป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือมีเหตุจำเป็นอย่างอื่นที่กฎหมายให้จับได้โดยไม่ต้องมีหมาย หรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าทหารผู้นั้นจะหลบหนีการจับกุมตามหมาย
ในการจับกุมทหารผู้ใด ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแจ้งให้ทหารผู้นั้นไปยังที่ทำการของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หากไม่ยอมไป ขัดขวางหรือมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี ให้จับกุมได้ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาและตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๓๗ โดยอาจร้องขอให้สารวัตรทหารช่วยควบคุมตัวผู้นั้นไปส่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจก็ได้ หากทหารมีจำนวนมาก ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจรีบแจ้งให้ฝ่ายทหารทราบโดยเร็วเพื่อมาช่วยระงับเหตุและร่วมมือในการจับกุมทหารผู้กระทำผิดไปดำเนินคดี
ในการจับกุมตามวรรคหนึ่ง หากทหารผู้นั้นสวมเครื่องแบบอยู่ให้ปฏิบัติตาม ข้อ ๑๔ โดยอนุโลม และหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องพันธนาการ เว้นแต่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง และมิให้ใช้อาวุธระหว่างการจับกุมโดยไม่จำเป็น
            ถ้าเป็นกรณีทหารและตำรวจหรือพนักงานฝ่ายปกครองกำลังก่อการวิวาทกัน ให้รีบรายงานผู้บังคับบัญชาของแต่ละฝ่ายทราบทันที และให้ผู้บังคับบัญชาที่เกี่ยวข้องรีบออกไประงับเหตุโดยเร็ว ส่วนการดำเนินการขั้นต่อไปให้ปฏิบัติตามความในวรรคก่อน
            ข้อ ๑๔ การควบคุมตัวทหาร
            การควบคุมตัวทหารที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญาและถูกจับกุมตัวไปยังที่ทำการของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ ให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ถ้าทหารที่ถูกจับกุมและควบคุมตัวสวมเครื่องแบบ ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจดำเนินการดังนี้
                  ( ๑ ) แนะนำให้ทหารผู้นั้นทราบถึงเกียรติของเครื่องแบบทหารและขอให้พิจารณาว่าจะถอดเครื่องแบบหรือไม่
                  ( ๒ ) ถ้าทหารไม่ยอมถอดเครื่องแบบ ให้แจ้งฝ่ายทหารทราบ เพื่อจัดส่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมาแนะนำให้ทหารถอดเครื่องแบบแล้วดำเนินการตามวรรคแรก หากฝ่ายทหารไม่มาภายในระยะเวลาอันสมควรหรือระยะเวลาที่กำหนด หรือดำเนินการใด ๆ แล้วไม่เป็นผล ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจปฏิบัติตามวรรคแรกได้ และบันทึกเหตุผลไว้ แล้วแจ้งเหตุนั้นให้ฝ่ายทหารทราบ
            ข้อ ๑๕ การปล่อยชั่วคราว
            การปล่อยชั่วคราวหรือการพิจารณาคำขอประกันทหารผู้ต้องหาให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๓๙ ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาและระเบียบปฏิบัติว่าด้วยการนี้เช่นเดียวกับผู้ต้องหาทั่วไป
            ข้อ ๑๖ การรับตัวทหาร
            เมื่อควบคุมตัวทหารไว้ตามข้อ ๑๔ แล้ว ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจแจ้งการจับกุมให้ฝ่ายทหารที่เป็นผู้บังคับบัญชาของทหารผู้นั้นทราบทางสิ่งสื่อสารหรือหนังสือโดยไม่ชักช้า และให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
                  ( ๑ ) หากฝ่ายทหารแจ้งว่าไม่ประสงค์จะรับตัวผู้ต้องหานั้นไปหรือไม่มาขอรับตัวภายในระยะเวลาที่กำหนด ให้พนักงานสอบสวนควบคุมตัวและดำเนินการไปตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา แต่ฝ่ายทหารอาจแจ้งขอรับตัวมาภายหลังจากนั้นได้ ในกรณีเช่นนี้ให้ดำเนินการตาม
                  ( ๒) หากฝ่ายทหารแจ้งว่าประสงค์จะรับตัวผู้ต้องหาไปจากพนักงานสอบสวนก็ให้นำหนังสือขอรับตัวผู้ต้องหามาแสดงต่อพนักงานสอบสวน ในกรณีนี้ให้พนักงานสอบสวนทำหนังสือส่งมอบตัว และให้บันทึกเป็นหลักฐานรวมเข้าสำนวนไว้ พร้อมกับลงบันทึกในรายงานประจำวันด้วย
                  ( ๓ ) หากพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเห็นว่ามีความจำเป็นในทางคดีที่จะต้องนำตัวทหารไปดำเนินการเพื่อประโยชน์แก่การรวบรวมพยานหลักฐานนอกจากการสอบปากคำ เช่น การนำชี้สถานที่เกิดเหตุ การชี้ตัว การทำแผนประทุษกรรมอาจขอดำเนินการก่อนที่จะส่งมอบตัวทหารผู้ต้องหาให้ฝ่ายทหารรับตัวไปก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ถ้าผู้ต้องหาต้องการให้ฝ่ายทหาร ทนายความ หรือผู้อื่นซึ่งตนไว้วางใจอยู่ในสถานที่นั้นด้วยก็ให้อนุญาตตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา และรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๔๑ และมาตรา ๒๔๒
หนังสือขอรับตัวและหนังสือส่งมอบตัวผู้ต้องหาตามข้อนี้ให้เป็นไปตามแบบที่คณะกรรมการกำหนด
ในการรับตัวทหารไปจากพนักงานสอบสวน หากพนักงานสอบสวนเห็นควรให้ฝ่ายทหารควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้เพื่อประโยชน์ทางคดี ก็ให้แจ้งเป็นหนังสือและให้ฝ่ายทหารดำเนินการตามกฏหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร
การรับตัวทหารที่ได้รับบาดเจ็บและถูกควบคุมตัวไว้ ณ สถานพยาบาลให้ดำเนินการดังกล่าวข้างต้นแต่ให้พนักงานสอบสวนแจ้งผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทราบด้วย
หมวด ๔
การตรวจค้น
            ข้อ ๑๗ การตรวจค้นตัวบุคคล
            การตรวจค้นตัวทหาร ให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา
            ข้อ ๑๘ การตรวจค้นสถานที่และที่รโหฐาน
            การตรวจค้นสถานที่และที่รโหฐานของทหารที่ไม่เกี่ยวกับราชการทหารให้เป็นไปตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา และรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๓๘
การตรวจค้นสถานที่และที่รโหฐานอันเป็นเขตที่ตั้งทหารหรือของทางราชการ นอกจากจะต้องปฏิบัติตามวรรคก่อนแล้ว ให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ในการตรวจค้นแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้รับผิดชอบเขตที่ตั้งทหารนั้นส่งผู้แทนไปอยู่ในการตรวจค้นด้วย
            ข้อ ๑๙ การตรวจค้นยานพาหนะ
            การตรวจค้นยานพาหนะของทหารไม่ว่าจะเป็นของส่วนตัวหรือทางราชการทหารหรือการค้นตัวทหารที่อยู่ในยานพาหนะนั้นไม่ว่าจะสวมเครื่องแบบหรือไม่ก็ตาม ให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และรัฐธรรมนูญและให้ทหารผู้ครอบครองหรือผู้ควบคุมยานพาหนะให้ความร่วมมือและความสะดวกจนกว่าการตรวจค้นจะเสร็จสิ้น
            การตรวจค้นยานพาหนะของทางราชการทหาร เช่น รถสงคราม เครื่องบิน เรือซึ่งชักธงราชนาวี ขณะปฏิบัติหน้าที่ราชการ และมีนายทหารชั้นสัญญาบัตรควบคุมยานพาหนะนั้นมา ผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจค้นจะตรวจค้นได้ต่อเมื่อมีหนังสืออนุมัติจากผู้บังคับบัญชายานพาหนะนั้น ๆ ตั้งแต่ชั้นผู้บัญชาการกองพลหรือเทียบเท่าขึ้นไป
            การตรวจค้นยานพาหนะของทางราชการทหารอันผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยนั้นมีหนังสือรับรองว่าจะเป็นเหตุให้การปฏิบัติการยุทธพึงเสียเปรียบ ให้งดการตรวจค้น
            ข้อ ๒๐ การตรวจค้นสิ่งของราชการลับ
            ในการตรวจค้น ถ้าได้รับแจ้งจากฝ่ายทหารว่าสิ่งของใดเป็นราชการลับทางทหาร ให้ดำเนินการดังนี้
                  ( ๑ ) เมื่อนายทหารชั้นสัญญาบัตรที่เป็นเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องทำหนังสือรับรองกำกับสิ่งของนั้นและแจ้งให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจทราบให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจค้นงดเว้นการตรวจเฉพาะสิ่งของดังกล่าว แล้วทำบันทึกเหตุงดเว้นการตรวจค้น พร้อมทั้งลงชื่อรับรองทุกฝ่ายแล้วรีบรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ
                  (๒ ) ถ้าผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจค้นซึ่งมีตำแหน่งตั้งแต่ชั้นปลัดอำเภอ หรือหัวหน้าสถานีตำรวจขึ้นไปยังติดใจสงสัยที่จะตรวจค้น ให้ทำเครื่องหมายลงชื่อทุกฝ่ายปิดผนึกหรือกำกับไว้ที่หีบห่อหรือภาชนะบรรจุสิ่งของนั้นแล้วจัดส่งสิ่งของนั้นไปยังสถานที่ปลายทางตามที่ตกลงกัน เพื่อร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการเปิดตรวจสิ่งของนั้นต่อไป
            ถ้าสิ่งของใดอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ตรวจค้นหรือก่อให้เกิดความเสียหายอันจะทำให้ทางราชการได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของราชการลับหรือไม่ก็ตาม ให้ดำเนินการตามวรรคก่อนโดยอนุโลม
            การตรวจค้นสิ่งของใดอันผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยนั้นมีหนังสือรับรองว่าจะเป็นเหตุให้การปฏิบัติการยุทธพึงเสียเปรียบให้งดการตรวจค้น
            ข้อ ๒๑ การประสานการตรวจค้น
            ในการตรวจค้นตัวบุคคล สถานที่และที่รโหฐาน ยานพาหนะหรือสิ่งของตามหมวดนี้ ให้กระทำในเวลาและสถานที่อันสมควร โดยใช้ความสุภาพนุ่มนวลตามสมควรแก่กรณี ถ้ามีสารวัตรทหารอยู่ ณ สถานที่หรือบริเวณที่จะตรวจค้น ให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจค้นประสาน โดยขอสารวัตรทหารมาร่วมเป็นพยานในการตรวจค้นด้วย แต่ถ้าไม่มีหรือมีแต่สารวัตรทหารไม่ยินยอมร่วมเป็นพยานก็ให้บันทึกไว้ และเมื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ตรวจค้นดำเนินการเสร็จแล้ว ให้ทำบันทึกพร้อมกับให้ทุกฝ่ายลงชื่อรับรองและต่างยึดถือไว้ฝ่ายละหนึ่งฉบับ
หมวด ๕
การสอบสวน
            ข้อ ๒๒ การสอบสวนคดีทหาร
            ฝ่ายทหารจะทำการสอบสวนการกระทำความผิดของทหารตามกฏหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหารได้เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
                   ( ๑ ) คดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร
                   ( ๒ ) คดีที่ผู้กระทำผิดและผู้เสียหายต่างอยู่ในอำนาจศาลทหารด้วยกัน ตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในเขตที่ตั้งทหารหรือไม่ก็ตาม
                   ( ๓ ) คดีอาญาที่เกี่ยวด้วยวินัยทหารตามกฎหมายว่าด้วยวินัยทหาร
                   ( ๔ ) คดีอาญาที่เกี่ยวด้วยความลับของทางราชการทหาร
            ในกรณีที่ฝ่ายทหารร้องขอให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยลำพังหรือร่วมกับฝ่ายทหารหรือช่วยดำเนินการอย่างอื่นเพื่อประโยชน์ในการรวบรวมพยานหลักฐานเช่น การสืบสวน การค้นหรือการจับกุม ให้พนักงานสอบสวนให้ความรวมมือตามที่ฝ่ายทหารร้องขอ
            คดีตามวรรคหนึ่ง ถ้าฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้รับคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษไว้ก่อนแล้ว หรือได้ประสบเหตุและมีความจำเป็นต้องสอบสวน ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนแล้วรีบแจ้งให้ฝ่ายทหารทราบ ถ้าฝ่ายทหารขอรับตัวทหารผู้ต้องหาไปดำเนินการ ให้มอบตัวและสำนวนการสอบสวนให้ไป แต่ถ้าฝ่ายทหารไม่มารับตัวและไม่แจ้งข้อขัดข้องให้ทราบ ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไปได้จนเสร็จสิ้น
            ข้อ ๒๓ การสอบสวนคดีอาญา
            ในกรณีที่ทหารเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งผู้บังคับบัญชาของทหารผู้นั้นทราบ แล้วดำเนินการสอบสวนไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้แจ้งสิทธิของผู้ต้องหาตามรัฐธรรมนูญ ให้ผู้ต้องหาทราบ ดังนี้
                   ( ๑ ) สิทธิที่จะขอประกันตัวตามมาตรา ๒๓๙
                   ( ๒ ) สิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัวในกรณีถูกควบคุมหรือคุมขังตามมาตรา ๒๓๙
                   ( ๓ ) สิทธิที่จะได้รับการเยี่ยมตามสมควรในกรณีถูกควบคุมหรือคุมขังตามมาตรา ๒๓๙
                   ( ๔ ) สิทธิที่จะได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่องและเป็นธรรมตามมาตรา ๒๔๑
                   ( ๕ ) สิทธิที่จะให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจ เช่น นายทหารพระธรรมนูญ หรือนายทหารชั้นสัญญาบัตร เข้าฟังการสอบปากคำของตนได้ตามมาตรา ๒๔๑
                   ( ๖ ) สิทธิที่จะตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตนในชั้นสอบสวนหรือเอกสารประกอบคำให้การของตนตามหลักเกณฑ์ของกฏหมาย เมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้วตามมาตรา ๒๔๑
                   ( ๗ ) สิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐด้วยการจัดหาทนายความให้ตามหลักเกณฑ์ของกฏหมายตามมาตรา ๒๔๒
                  ( ๘ ) สิทธิที่จะไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเองอันอาจทำให้ตนถูกฟ้องคดีอาญาตามมาตรา ๒๔๓
                  (๙ ) สิทธิที่จะได้รับการเตือนว่าถ้อยคำซึ่งเกิดจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง ถูกทรมาน ใช้กำลังบังคับหรือกระทำโดยมิชอบประการใด ๆ ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามมาตรา ๒๔๓
            ในกรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าทหารผู้ต้องหาได้กระทำหรือจะกระทำความผิดตามประมวลกฏหมายอาญาทหารหรือกฏหมายว่าด้วยวินัยทหารด้วย ผู้บังคับบัญชาของทหารผู้ต้องหาอาจส่งนายทหารพระธรรมนูญหรือนายทหารชั้นสัญญาบัตรอื่นใดเข้าฟังการสอบปากคำทหารผู้ต้องหาก็ได้
            ให้นำข้อ ๑๔ ข้อ ๑๕ และข้อ ๑๖ มาใช้กับการควบคุมตัวและการปล่อยชั่วคราวทหารผู้ต้องหาในระหว่างการสอบสวนโดยอนุโลม ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงกำหนดเวลาควบคุมตัวตามกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วย ในกรณีที่ฝ่ายทหารเห็นว่าการสอบสวนล่าช้า จะขอให้พนักงานสอบสวนเร่งรัดหรือชี้แจงเหตุผลก็ได้
            ข้อ ๒๔ คดีในอำนาจศาลแขวงและคดีที่เปรียบเทียบ
            ถ้าทหารผู้ต้องหาคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลแขวงให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฏหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง โดยแจ้งให้ฝ่ายทหารทราบการจับกุมและการฟ้องคดีด้วย
            ถ้าคดีอาญาที่ทหารต้องหาว่ากระทำความผิดนั้นอยู่ในอำนาจของพนักงานสอบสวนที่จะเปรียบเทียบได้ตามกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหารหรือไม่ก็ตาม และทหารผู้ต้องหายินยอมให้เปรียบเทียบได้ ให้พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบตามอำนาจหน้าที่ ถ้าผู้ต้องหาไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบ ก็ให้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังพนักงานอัยการหรืออัยการทหารเพื่อดำเนินการต่อไป
            ข้อ ๒๕ การสอบสวนกรณีทหารและตำรวจก่อการวิวาทกัน
            ในกรณีที่ทหารและตำรวจก่อการวิวาทกันไม่ว่าจะมีบุคคลอื่นร่วมกระทำความผิดหรือได้รับความเสียหายด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้ฝ่ายตำรวจรายงานตามลำดับชั้นถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาลหากเหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร หรือหัวหน้าตำรวจภูธรจังหวัด หากเหตุเกิดในจังหวัดอื่น เพื่อให้แต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนร่วมกันระหว่างฝ่ายตำรวจกับฝ่ายทหารมีจำนวนตามความจำเป็นแห่งรูปคดี โดยให้แต่ละฝ่ายมีจำนวนเท่ากัน เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้น ให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจสั่งคดีไปตามอำนาจหน้าที่ประกอบกับผลการสอบสวนนั้น แต่ถ้าความเห็นของคณะพนักงานสอบสวนร่วมกันของฝ่ายตำรวจไม่ตรงกับฝ่ายทหาร ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ได้รับมอบหมายเป็นผู้มีความเห็นทางคดีแล้วส่งสำนวนให้พนักงานอัยการดำเนินการต่อไป
            หากพนักงานสอบสวนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่มาร่วมการสอบสวนตามกำหนดนัด ให้คณะพนักงานสอบสวนร่วมกันเท่าที่มีอยู่ดำเนินการสอบสวนต่อไปจนแล้วเสร็จเพื่อมิให้การสอบสวน ล่าช้าจนเกิดความเสียหายหรือเป็นผลให้ผู้ต้องหาถูกควบคุมตัวไว้นาน ทั้งนี้ให้บันทึกการที่ฝ่ายใดไม่มาร่วมทำการสอบสวนติดสำนวนไว้ด้วย
            ในระหว่างรอการแต่งตั้งหรือรอการประชุมคณะพนักงานสอบสวนร่วมกันตามวรรคหนึ่ง ให้พนักงานสอบสวนฝ่ายตำรวจปฏิบัติหน้าที่เท่าที่จำเป็นก่อนได้ตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อมิให้เสียหายแก่รูปคดีหรือเพื่อประโยชน์แก่ความเที่ยงธรรมของคดี
            ข้อ ๒๖ การชันสูตรพลิกศพ
            ในกรณีที่ทหารตายโดยการกระทำของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่ หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่ให้จัดให้มีการสอบสวนและชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา และให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารหรือหน่วยทหารตามข้อ ๑๑ ทราบเพื่อส่งนายทหารสัญญาบัตรเข้าฟังการสอบสวนและร่วมสังเกตการชันสูตรพลิกศพด้วย
หมวด ๖
การส่งสำนวนการสอบสวน
            ข้อ ๒๗ การส่งสำนวนและผู้ต้องหาให้อัยการ
            เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้นลง ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการ ดังนี้
                  ( ๑ ) ถ้าเป็นคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารตามกฏหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหาร ให้ส่งสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการทหารเพื่อดำเนินการตามหน้าที่ต่อไป ส่วนผู้ต้องหานั้น ถ้าได้มอบตัวให้ผู้บังคับบัญชารับไปควบคุมไว้ก่อนแล้วตามข้อ ๑๖ ก็อาจไม่ต้องขอรับตัวมาดำเนินการอีก แต่ให้บันทึกและแจ้งให้อัยการทหารทราบว่าได้มอบตัวผู้ต้องหาให้ผู้บังคับบัญชาผู้ใดรับตัวไปแล้วตั้งแต่เมื่อใด
                  ( ๒ ) ถ้าเป็นคดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลยุติธรรม ให้ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมทั้งตัวทหารผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการเพื่อดำเนินการตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาต่อไป การส่งตัวทหารผู้ต้องที่อยู่ในการควบคุมของผู้บังคับบัญชา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งผู้บังคับบัญชาเพื่อส่งตัวทหารผู้นั้นมายังพนักงานสอบสวนตามสถานที่และเวลาที่กำหนดเพื่อส่งให้พนักงานอัยการพร้อมกับสำนวน
ในกรณีที่พนักงานอัยการสั่งฟ้องไม่ทันในวันนั้น หากมิได้มีการสั่งให้ปล่อยชั่วคราว ให้พนักงานอัยการมอบตัวผู้ต้องหาให้อยู่ในความควบคุมของพนักงานสอบสวนสำหรับในกรุงเทพมหานคร ส่วนในจังหวัดอื่นให้ฝากตัวผู้ต้องหาให้เรือนจำควบคุมไว้
            ข้อ ๒๘ การส่งสำนวนให้อัยการทหาร
            ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนไปยังอัยการทหาร เพื่อดำเนินการตามกฏหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหารต่อไป ในกรณีดังต่อไปนี้
                  ( ๑ ) คดีอาญาซึ่งพนักงานสอบสวนมีอำนาจเปรียบเทียบได้และเปรียบเทียบเสร็จแล้วหรือทหารผู้ต้องหาไม่ยอมให้เปรียบเทียบตามข้อ ๒๔ วรรคสอง
                  ( ๒ ) คดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารและยังจับตัวทหารผู้ต้องหาไม่ได้
                  ( ๓ ) คดีอาญาซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารและจับตัวทหารผู้ต้องหาได้แต่หลักฐานไม่พอฟ้องหรือพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง
                  ( ๔ ) กรณีมีความตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของฝ่ายทหารซึ่งอ้างว่าปฏิบัติการตามหน้าที่
                  ( ๕ ) กรณีที่พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนคดีทหารตามที่ฝ่ายทหารร้องขอตามข้อ ๒๒ วรรคสอง เสร็จสิ้นแล้ว
            ในกรณีที่ฝ่ายทหารเป็นผู้ทำการสอบสวนเกี่ยวกับคดีที่ต้องทำการชันสูตรพลิกศพ เมื่อพนักงานสอบสวนชันสูตรพลิกศพตามประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาเสร็จแล้ว ให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนชันสูตรพลิกศพไปให้เจ้าหน้าที่สอบสวนฝ่ายทหารตามที่ได้รับการร้องขอ
            ข้อ ๒๙ การแจ้งผลคดีเพื่อการประสานงาน
            ในคดีอาญาซึ่งทหารเป็นผู้ต้องหาและอยู่ในอำนาจศาลบยุติธรรมให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการแจ้งผลคดีเพื่อการประสานงาน ดังนี้
                  ( ๑ ) เมื่อพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง ให้หัวหน้าพนักงานสอบสวนหรือหัวหน้าสถานีตำรวจที่เกี่ยวข้องแจ้งความเห็นทางคดีชั้นสอบสวนไปยังฝ่ายทหาร
                  ( ๒ ) เมื่อพนักงานอัยการมีคำสั่งฟ้องหรือมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องแล้วให้พนักงานอัยการแจ้งการแจ้งคำสั่งดังกล่าวไปยังฝ่ายทหาร
                  ( ๓ ) เมื่อศาลยุติธรรมมีคำพิพากษาประการใด ให้พนักงานอัยการแจ้งคำพิพากษาของทุกชั้นศาลไปยังฝ่ายทหาร
                  ( ๔ ) ในกรณีที่ทหารผู้กระทำผิดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและฝ่ายทหารที่ได้รับแจ้งต้องการที่จะรับตัวทหารผู้กระทำผิดนั้นเมื่อพ้นโทษ ให้แจ้งการอายัดตัวให้ผู้บัญชาการเรือนจำที่ทหารผู้กระทำผิดนั้นต้องคุมขังอยู่ได้ทราบ และให้ผู้บัญชาการเรือนจำแจ้งให้ฝ่ายทหารที่แจ้งการอายัดคัวทราบเมื่อใกล้กำหนดวันเวลาที่จะปล่อยตัวไป
                  ( ๕ ) เมื่อจะมีการปล่อยตัวทหารผู้กระทำผิด หากมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมารับตัว ก็ให้มอบตัวไป แต่ถ้าไม่มีก็ให้ผู้ที่มีอำนาจสั่งปล่อยหรือพนักงานอัยการในกรณีที่ศาลยุติธรรมเป็นผู้สั่งปล่อย แจ้งให้ทหารผู้นั้นไปรายงานตัวต่อผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด
                  ( ๖ ) ถ้าทหารผู้นั้น ต้องหาในคดีอื่นซึ่งจะต้องนำตัวไปฟ้องยังศาลทหารอีกด้วย หรือผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารต้องการตัว ให้ฝ่ายทหารมีหนังสืออายัดตัวไว้กับพนักงานสอบสวน และให้ พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ในสำนวนการสอบสวนว่าทางทหารยังต้องการตัว และให้ผู้บังคับบัญชาฝ่ายทหารติดต่อกับพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อรับตัวทหารนั้นไป
            ข้อ ๓๐ การดำเนินคดีกับบุคคลบางประเภท
            การดำเนินคดีอาญากับบุคคลบางประเภท ให้ดำเนินการดังต่อไปนี้
                  ( ๑ ) ในกรณีที่ทหารผู้ต้องหาว่ากระทำผิดคดีอาญาและอยู่ในอำนาจศาลทหารเป็นเด็กหรือเยาวชนตามกฏหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการไปตามกฎหมายนั้นทุกประการ และแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของทหารผู้ต้องหานั้นทราบ
                  ( ๒ ) ในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นพลเรือนในสังกัดราชการทหาร แต่การกระทำผิดคดีอาญาเกิดในขณะที่บุคคลนั้นปฏิบัติหน้าที่ยามรักษาสถานที่ราชการทหาร ให้นำความในข้อ ๗ ข้อ ๑๑ และข้อ ๑๖ มาใช้โดยอนุโลม
                  ( ๓ ) ในกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นอาสาสมัครทหารพรานที่อยู่ในความควบคุมดูแลของทางราชการทหาร และการกระทำผิดคดีอาญาเกิดในขณะที่บุคคลนั้นยังสังกัดอยู้ในหน่วยอาสาสมัครทหารพราน ให้นำความในข้อ ๗ ข้อ ๘ ข้อ ๙ ข้อ ๑๐ ข้อ ๑๑ และข้อ ๒๓ มาใช้โดยอนุโลม
ประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๔

(ลงชื่อ) พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
( ทักษิณ ชินวัตร )
นายกรัฐมนตรี

ผนวก ก.
แนวทางปฏิบัติของกำลังพล
ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ.๒๕๔๔ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
---------------------------
             เมื่อเจ้าพนักงานขอตรวจค้น
                   ๑. เจ้าพนักงานมีอำนาจตรวจค้นทหารได้ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีสิ่งของเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด หรือมีไว้เป็นความผิด
                   ๒. การตรวจค้นทหารตามข้อ ๑ ให้กระทำในเวลาและสถานที่อันควร ทหารผู้ถูกตรวจค้นควรร้องขอ สห.หรือบุคคลอื่นในสถานที่นั้นเป็นพยานเมื่อถูกตรวจค้น
                   ๓. การตรวจค้นตัวทหารต้องกระทำโดยสุภาพ ถ้าค้นตัวทหารหญิงต้องใช้ผู้หญิงเป็นผู้ค้น
                   ๔. การตรวจค้นสถานที่ ต้องมีหมายศาลและให้เจ้าพนักงานแสดงหมายและแสดงความบริสุทธิ์เสียก่อนทำการตรวจค้น
                   ๕. การตรวจค้นสถานที่โดยไม่ต้องมีหมายศาลตามที่กฎหมายบัญญัติ เมื่อเสียร้องให้ช่วยจากข้างในสถานที่นั้น หรือปรากฏความผิดซึ่งหน้ากำลังกระทำข้างในสถานที่นั้น หรือผู้กระทำความผิดซึ่งหน้าหนีเข้าซุกซ่อนตัวในสถานที่นั้น หรือมีความสงสัยตามสมควรว่าสิ่งของที่ได้มาโดยการกระทำความผิดซ่อนอยู่ในสถานที่นั้น หากเนิ่นช้าจะถูกโยกย้ายเสียก่อน หรือผู้จะต้องถูกจับกุมเป็นเจ้าบ้านที่มีหมายจับ
                   ๖. การตรวจค้นสถานที่อันเป็นเขตที่ตั้งทหาร หรือของทางราชการ ต้องมีหมายศาลและให้เจ้าพนักงานแสดงหมาย หรือมีเหตุให้ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายศาลที่กฎหมายบัญญัติเช่นเดียวกับข้อ ๕ แล้วให้ผู้บังคับบัญชาหรือผู้รับผิดชอบเขตที่ตั้งทหาร ส่งผู้แทนไปอยู่ด้วยในการตรวจค้นทุกครั้ง
                   ๗. การตรวจค้นยานพาหนะ (รถทุกประเภท ยกเว้นรถสงคราม) หรือค้นตัวทหารที่อยู่ในยานพาหนะต้องกระทำโดยสุภาพ เมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีสิ่งของเพื่อจะใช้ในการกระทำความผิด หรือได้มาโดยการกระทำความผิด หรือมีไว้เป็นความผิด
                   ๘. ผู้ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะ ต้องให้ความร่วมมือและให้ความสะดวกจนกว่าการตรวจค้นจะเสร็จสิ้น
                   ๙. การตรวจค้นยานพาหนะของทหารราชการ เช่น รถสงคราม และมีนายทหารชั้นสัญญาบัตรควบคุมยานพาหนะนั่งมา เจ้าพนักงานผู้ตรวจค้นต้องมีหนังสืออนุมัติจาก ผบ.พล. หรือเทียบเท่าขึ้นไป
            เมื่อเจ้าพนักงานจับกุมทหาร
                   ๑. การจับกุมทหารผู้ใดต้องมีคำสั่ง หรือหมายศาลให้จับทหารนั้น
                   ๒. เมื่อคำสั่งหรือหมายศาลตามข้อ ๑ เจ้าพนักงานต้องแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของทหารผู้นั้นทราบในโอกาสแรก
                   ๓. นอกจากการจับกุมตามข้อ ๑ แล้ว ถ้าเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า หรือพบว่ากำลังพยายามกระทำความผิด หรือมีพฤติการณ์สงสัยว่าจะกระทำความผิด หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าได้กระทำความผิดมาแล้วและจะหลบหนี หรือจะหลบหนีการจับกุมตามหมายให้จับกุมได้โดยไม่ต้องมีหมาย
                   ๔. ทหารผู้ถูกขับกุมต้องรับทราบข้อหาที่ถูกจับกุมตัวก่อน โดยขั้นต้นต้องจดจำ ยศ-ชื่อ เจ้าพนักงานผู้จับกุม และวันเวลาพฤติการณ์ รวมถึงพยานที่เห็นเหตุการณ์ด้วย
                   ๕. ขอให้แจ้งเจ้าพนักงานผู้จับกุม หรือพนักงานสอบสวนว่า เป็นทหารสังกัดหน่วยใดที่ตั้ง ตำบล อำเภอ จังหวัด หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อหน่วยต้นสังกัด ผู้บังคับบัญชาชื่อ
                   ๖. ขอความร่วมมือกับบุคคลอื่นๆ ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาของทหารที่ถูกจับกุมให้ทราบว่ามีกำลังพลของหน่วยถูกจับกุมอยู่ที่ใด
                   ๗. หากมีอันตรายหรือบาดเจ็บจากการจับกุม ให้แจ้งผู้บังคับบัญชาในโอกาสแรก เพื่อให้ส่งตัวไปรักษาพยาบาล
                   ๘. เมื่อทหารถูกจับกุมในขณะแต่งเครื่องแบบ เจ้าพนักงานผู้จับกุมจะบังคับให้ทหารถอดเครื่องแบบไม่ได้
                   ๙. กรณีทหารสวมเครื่องแบบต้องหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องพันธนาการ หรือใส่กุญแจมือ เว้นแต่จะหลบหนีหรือขัดขืนการจับกุม
                   ๑๐. กรณีทหารไม่สวมเครื่องแบบ ปฏิบัติเช่นกับบุคคลพลเรือนทั่วไป
           การควบคุมตัวทหาร และการปล่อยชั่วคราว
                   ๑. เจ้าพนักงานจับกุมตัวทหารมาถึงที่ทำการของเจ้าพนักงานผู้จับกุม สามารถควบคุมตัวทหารผู้ถูกจับกุม ได้เท่าที่จำเป็นแต่ได้ไม่เกิน ๓ วัน
                   ๒. ทหารผู้ต้องหา หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ยื่นคำร้องขอให้พนักงานปล่อยตัวทหารผู้ต้องหาชั่วคราวในชั้นสอบสวนได้ ตามหลักเกณฑ์ในเรื่องการปล่อยชั่วคราวตามที่กฎหมายบัญญัติ
                   ๓. หากฝ่ายทหารไม่ประสงค์จะขอรับตัวทหารผู้ต้องหาไปควบคุมในอำนาจฝ่ายทหารและเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแขวงหรือคดีที่เปรียบเทียบปรับได้ ถ้าทหารผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนสามารถดำเนินคดีในศาลแขวง หรือเปรียบเทียบปรับตามอำนาจหน้าที่ได้
                   ๔. คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารและฝ่ายทหารไม่ประสงค์จะขอรับตัวทหารผู้ต้องหาพนักงานสอบสวนสามารถควบคุมตัวทหารผู้ต้องหาได้ไม่เกิน ๓ วัน และต้องขออำนาจศาลฝากขังต่อไปได้ไม่เกิน ๗ วัน หรือ ๔๘ วัน หรือ ๘๔ วัน แล้วแต่คดีความผิด
                   ๕. เมื่อฝ่ายทหารขอรับตัวหรือได้รับตัวทหารผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวน ทหารผู้ต้องหา หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องสามารถยื่นคำร้องต่อผู้บังคับบัญชาของผู้ต้องหา เพื่อขอให้ปล่อยตัวทหารผู้ต้องหาชั่วคราวในชั้นสอบสวนได้
                   ๖. ฝ่ายทหารขอรับตัวหรือได้รับตัวทหารผู้ต้องหาจากพนักงานสอบสวนมาควบคุมตามอำนาจฝ่ายทหาร ผู้บังคับบัญชาจะควบคุมตัวทหารผู้ต้องหารวมไม่เกิน ๙๐ วัน โดยพนักงานสอบสวนจะร้องขอให้ควบคุมตัวทหารผู้ต้องหาต่อผุ้บังคับบัญชาทหารได้ครั้งละไม่เกิน ๑๒ วัน
           การสอบสวนคดี
                   ๑. เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบแล้ว ผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใด หรือไม่เต็มใจให้การอย่างใดก็ได้
                   ๒. ก่อนที่จะดำเนินการตามข้อ ๑. ให้ทหารผู้ต้องหาแจ้งต่อพนักงานสอบสวนขอให้มี นธน. หรือนายทหารสัญญาบัตร หรือทนายความ หรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวน
                   ๓. ถ้าทหารผู้ต้องหาต้องการให้มี นธน. หรือนายทหารสัญญาบัตร หรือทนายความ หรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจอยู่ด้วยในขณะนำชี้สถานที่เกิดเหตุ, การที่ผู้เสียหายชี้ตัว, การทำแผนที่เกิดเหตุ หรือการทำแผนประทุษกรรม ก็ให้ร้องขอต่อพนักงานสอบสวน
                   ๔. เมื่อทหารเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญามีสิทธิ ดังนี้.-
                        ๔.๑ มีสิทธิขอประกันตัวชั่วคราว
                        ๔.๒ มีสิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความเป็นการเฉพาะตัว
                        ๔.๓ มีสิทธิที่จะได้รับการเยี่ยมตามสมควร
                        ๔.๔ มีสิทธิที่จะได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง และเป็นธรรม
                        ๔.๕ มีสิทธิจะให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจ เช่น นธน. หรือนายทหารสัญญาบัตร เข้าฟังการสอบปากคำตน
                        ๔.๖ มีสิทธิที่จะตรวจหรือคัดสำเนาคำให้การของตน และเอกสารประกอบคำให้การของตนในชั้นสอบสวน เมื่อพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว
                        ๔.๗ มีสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐ ด้วยการจัดหาทนายความให้
                        ๔.๘ มีสิทธิที่จะให้ถ่อยคำเป็นปฎิปักษ์ต่อตนเองอันอาจทำให้ตนถูกฟ้องคดีอาญา
                        ๔.๙ มีสิทธิที่จะได้รับการเต์อนว่าด้วยถ่อยคำซึ่งเกิดจากการจูงใจมีคำมั่นสัญญา หรือ การกระทำโดยมิชอบด้วยประการใด ๆ ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
……………………………………………………….
ตรวจถูกต้อง
พ.อ. อัมพร พิทักษ์วงศ์
( อัมพร พิทักษ์วงศ์ )
ผอ.กอง กพ.ทบ.

ผนวก ข
รูปแบบบัตรติดตัวทหารกองประจำการกองทัพบก



ครุฑ
ข้อกำหนด
เกี่ยวกับแบบของหนังสือตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
พ.ศ. ๒๕๔๔
………………….
           อาศัยอำนาจตามความในข้อ ๗. ( ๒ ) แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔ คณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา ออกข้อกำหนดเกี่ยวกับแบบของหนังสือขอรับตัวผู้ต้องหา แบบของหนังสือส่งมอบตัว และแบบของหนังสือขอให้ควบคุมตัว ( ต่อ ) ดังต่อไปนี้.-
           ข้อ ๑ ข้อกำหนดนี้เรียกว่า “ ข้อกำหนดเกี่ยวกับแบบของหนังสือตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
พ.ศ. ๒๕๔๔“
           ข้อ ๒ ข้อกำหนดนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
           ข้อ ๓ แบบของหนังสือขอรับตัวผู้ต้องหา ให้เป็นไปตามแบบ ๑ ท้ายข้อกำหนดนี้
           ข้อ ๔ แบบของหนังสือส่งมอบตัวผู้ต้องหา ให้เป็นไปตามแบบ ๒ ท้ายข้อกำหนดนี้
           ข้อ ๕ แบบของหนังสือขอให้ควบคุมตัว ( ต่อ ) ให้เป็นไปตามแบบ ๓ ท้ายข้อกำหนดนี้
ประกาศ ณ วันที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ
( ชวลิต ยงใจยุทธ )
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ประธานคณะกรรมการว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงาน
กรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา


( แบบ ๑ )
หนังสือขอรับตัวผู้ต้องหา
ที่ ………………………… ( หน่วยงานเจ้าของหนังสือ )
วันที่ ……………เดือน ………………………..พ.ศ…………….
                      ขอให้ ……………………………………………………………………..มอบตัวทหารผู้ต้องหา
ตามบัญชีรายชื่อท้ายหนังสือนี้ รวม ………คน ซึ่งควบคุมตัวไว้ ให้แก่ ( หน่วยที่มีอำนาจควบคุมตัว )
……………………………..ซึ่งได้แต่งตั้งให้ …………………………………ตำแหน่ง………………….
เป็นผู้รับตัวทหารผู้ต้องหาไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิบัติและประสานงานกรณีทหารถูกหาว่ากระทำความผิดอาญา พ.ศ. ๒๕๔๔
( ยศ, ชื่อ )……………………………………………..
( ตำแหน่ง )……………………………..

บัญชีรายชื่อทหารผู้ต้องหาที่ขอให้มอบตัวแก่ฝ่ายทหาร
ที่
ยศ, ชื่อ นามสกุล
สังกัด
ต้องหาว่า
หมายเหตุ







( แบบ ๒ )
หนังสือส่งมอบตัวผู้ต้องหา
ที่………………. ( หน่วยงานเจ้าของหนังสือ )
วันที่ …………เดือน ………………………..พ.ศ. …………..
                      ตามที่ขอให้ ………………………………………………………………..มอบตัวทหารผู้ต้องหา
ตามบัญชีรายชื่อท้ายหนังสือนี้ไปเพื่อควบคุมตัวไว้ในระหว่างสอบสวนครั้งแรกมีกำหนด ……………วัน
ซึ่ง……………………………………………..ได้แต่งตั้งให้………………………………………………
ตำแหน่ง…………………………………………..เป็นผู้รับตัวทหารผู้ต้องหาไปเพื่อควบคุมตัวไว้แล้วนั้น
หากไม่ได้รับแจ้งตามหนังสือแบบ ๓ ถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ขอให้ควบคุมตัวทหารผู้ต้องหาต่อตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาที่สั่งควบคุมตัวปล่อยตัวทหารผู้ต้องหาไปทันที
ลงชื่อ…………………...……………………………….ผู้รับตัวทหาร
ลงชื่อ………………………………………………….ผู้มอบตัวทหาร
ลงชื่อ..………...………………............……………………พยาน
ลงชื่อ……………..............……………………… ……….พยาน
บัญชีรายชื่อทหารผู้ต้องหาที่มอบให้ฝ่ายทหารรับตัวไปควบคุมตัว
ที่
ยศ, ชื่อ นามสกุล
สังกัด
ต้องหาว่า
โทษสูงสุดตามข้อหา




หมายเหตุ
             ๑. หนังสือนี้ทำขึ้น ๒ ฉบับ ข้อความตรงกัน ทางฝ่ายทหารนำไปมอบให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอำนาจสั่งควบคุมตัวฉบับหนึ่ง พนักงานสอบสวนติดสำนวนไว้ฉบับหนึ่ง
             ๒. กำหนดเวลาตามกฎหมายที่ขอให้ผู้บังคับบัญชาทหารควบคุมตัวผู้ต้องหาได้มีดังนี้.-
                    ๒.๑ ความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าร้อบบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้บังคับบัญชาสั่งขังได้ครั้งเดียวมีกำหนดไม่เกินเจ็ดวัน
                    ๒.๒ ความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินกว่าหกเดือนแต่ไม่ถึงสิบปี หรือปรับเกินกว่าห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ผู้บังคับบัญชาสั่งขังหลายครั้งติด ๆกันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวัน และรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินสี่สิบแปดวัน
                    ๒.๓ ความผิดอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป จะมีโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตาม ผู้บังคับบัญชาสั่งขังหลายครั้งติด ๆ กันได้ แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกินสิบสองวันและรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกินแปดสิบสี่วัน
กรณีที่ผู้บังคับบัญชาสั่งขังครบสี่สิบแปดวันแล้ว หากพนักงานสอบสวนยังมีความจำเป็นต้องให้ควบคุมตัวผู้ต้องหาต่อ ผู้บังคับบัญชาจะสั่งขังต่อไปได้ก็ต่อเมื่อพนักงานสอบสวนนำพยานหลักฐานไปแสดงให้ปรากฎเหตุแห่งความจำเป็นนั้น โดยผู้ต้องหาจะแต่งทนายเพื่อคัดค้านและซักถามพยานในวันนั้นก็ได้ เมื่อควบคุมตัวครบกำหนดสี่สิบแปดวันแล้วให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาไปทันที
……………………………..
( แบบ ๓ )
หนังสือขอให้ควบคุมตัว ( ต่อ )
ที่ ………………………. ( หน่วยงานเจ้าของหนังสือ )
วันที่ ……………เดือน ………………………พ.ศ. …………
เรื่อง ขอให้ควบคุมตัวต่อ ครั้งที่…….
เรียน ……………………( ผู้บังคับบัญชาทหาร )
อ้างถึง …………………………………………………………………………………………………….
สิ่งที่ส่งมาด้วย …………………………………………………………………………………………….
                    ตามที่ได้ขอให้ควบคุมตัว …………………………………………………………ทหารผู้ต้องหา
ไว้ระหว่างสอบสวนตามหนังสือ …………………………นั้น
ด้วยการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ เนื่องจาก………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………...
ดังปรากฏหลักฐานตามที่ส่งมาด้วย ( หรือตามที่พนักงานสอบสวนนำมาแสดงเป็นหลักฐาน ) จึงขอให้ควบคุมตัวทหารผู้ต้องหาต่อไปอีก ………………. วัน หากไม่ได้รับแจ้งถึงเหตุผลและความจำเป็นที่ขอให้ควบคุมตัวทหารผู้ต้องหาต่อตามที่กำหนดไว้ในกฏหมายแล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาที่สั่งควบคุมตัวปล่อยตัวทหารผู้ต้องหาไปทันที
ขอแสดงความนับถือ
( ลงชื่อ ) ……………………………………………..
( ตำแหน่ง ) ……………………………………..


1 ความคิดเห็น:

  1. ช่วยแก้ไขเป็นปัจจุบันด้วยคับ
    หลักเกณฑ์ปฏิบัติตามแนวทาง พ.ศ.๒๕๔๕

    ตอบลบ